ขวานไทยใจหนึ่งเดียว

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนหนังเหนียว ( Live คอนเสิร์ตปิดทองหลังพระ )



คนหนังเหนียว คาราบาว

..ประตูโรงงานปิดแล้วตัวเรา ก็ถึงคราวหมองหม่น
หนทางมืดมนจะมีกี่คน มาเข้าใจเห็นใจ อยู่เพื่องาน ทำเพื่อ
+++ เดือนละไม่เท่าไร ไม่พอยาไส้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ได้เป็นวัน ๆ ..
เป็นกรรมกรเร่ขายแรงงาน โอ้ฉันมันแสนลำบาก ชีวิตทุกข์ยาก
ค่าหยูกค่ายา ค่าโน่นค่านี่ ค่าน้ำค่าไฟ บ้านต้องเช่าละค่าข้าวค่าเหล้า
แล้วจะเหลืออะไรล่ะ สิ้นเดือนสุดท้ายจะให้ทำยังไง เพราะเขาเลิกจ้างแล้ว ..
คิดขอทาน ละอายใจอยู่ คิดขอทาน ละอายใจอยู่ ก็เราสองมือยังดี สองขายังอยู่
และถ้าสองมือยังดี สองขายังเดิน นั่นเลยใจไม่กล้า อยากตัดใจหวลกลับคืนสู่บ้านนา
ก็หมดปัญญาเขาแย่งที่นาไปแล้ว
(Solo....) ..คิด ขอทาน ละอายใจอยู่ คิด ขอทาน ละอายใจอยู่ ก็เราสองมือยังดี สองขายังอยู่
และถ้าสองมือยังดี สองขายังเดิน นั่นเลยใจไม่กล้า อยากตัดใจหวลกลับคืนสู่บ้านนา
ก็หมดปัญญาเขาแย่งที่นาไปแล้ว ..ตึกรามใหญ่โตถนนมากมาย อีกรถราก็ขวักไขว่
ย่ำเดินเรื่อยไปสายตาจับจ้อง ที่ป้ายรับคนงาน ค่ำลงแล้วร้านรวงก็ปิด แหล่งราตรีเบ่งบานนะซิ
สถานบริการสาวน้อยทำงาน กันตัวเป็นเกลียว เป็นชายอย่างฉันมันนึกน้อยใจ ขายใครไม่ออก
เหมือนถุยบ้านนอกจะมีก็แรง ที่เอาไว้ไถนา หมดเรี่ยวแรงยังเข้าโรงฆ่าสัตว์ มันยังได้
+++ เนื้อหนังมังสาของคนกับควาย แล้วใครจะเหนียวกว่ากัน

ประวัติวงคาราบาว



ประวัติวงคาราบาว
ครบรอบ ๒๕ ปี คาราบาว พ.ศ. ๒๕๔๙


วงดนตรี “คาราบาว” เริ่มต้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยนักศึกษาที่ชื่อ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) กับ กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) ได้รู้จักกันระหว่างที่ได้ไปศึกษาระดับปริญญาที่มหาวิทยาลัยมาปัวฯ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งบุคคลทั้งสองร่วมกันก่อตั้งวงดนตรีชื่อ “คาราบาว” ขึ้นมา คำว่า คาราบาว แปลว่า ควาย เป็นภาษาตากาล๊อก ใช้เรียกควายพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ ควายเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการต่อสู้ แสดงถึงการทำงานหนัก แสดงถึงความอดทน อีกทั้งควายยังเป็นตัวแทนผู้ใช้แรงงาน และถือได้ว่าผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ที่สร้างโลก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ยืนยง โอภากุล จึงได้ใช้คำว่า “คาราบาว” พร้อมกับ “หัวควายมาเป็นสัญลักษณ์ของวงคาราบาว ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา

หลังจากสำเร็จการศึกษา กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ได้ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายประเมินราคาเครื่องจักรในบริษัทฟิลิปปินส์ ยาวนานถึง 6 ปี ส่วนยืนยง โอภากุล ก็ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อเริ่มงานเป็นสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ พร้อมกับตระเวนเล่นดนตรีในเวลากลางคืนไปด้วย

เมื่อทุกอย่างลงตัว นายยืนยง โอภากุล ก็ได้ลาออกจากงานประจำ มาเอาดีทางด้านดนตรีอย่างเดียว พร้อมชักชวนให้เพื่อนสนิท กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ที่กำลังทำงานในบริษัทฟิลิปส์ที่ตั้งอยู่สาขาในประเทศไทย ลาออกมาด้วยเช่นกัน เพื่อทำงานด้านดนตรี มาสร้างวงคาราบาว อย่างเต็มตัว



อัลบั้มชุดที่ 1 ของ “คาราบาว” เริ่มขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2524 ใช้ชื่อชุดว่า “ขี้เมา” โดยมีแอ๊ด และเขียวเป็นแกนนำ ซึ่งเพลงของคาราบาวในยุคนี้ ถือได้ว่าเป็นบทเพลงที่ได้รับอิทธิพลมาจากฟิลิปปินส์มาพอสมควร อย่างเช่น ลุงขี้เมา และเพลงที่ถือได้ว่าเป็นเพลงเปิดตัวของวงคาราบาวได้ดีที่สุดคือ เพลงมนต์เพลงคาราบาว ส่วนบทเพลงแรกของคาราบาวที่แอ๊ดได้ประพันธ์ไว้คือ “ถึกควายทุย” เป็นเรื่องราวของการใช้ชีวิตของบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ถูกให้ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ทุกอัลบั้ม จนกล่าวได้ว่าเป็นเพลงบัลลาดที่ถูกเล่าขานได้ยาวนานที่สุด

หลังจากที่อัลบั้มชุดแรกออกไปแล้วนั้น ยืนยง โอภากุล ได้ชักชวน ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) มือกีต้าร์ และ อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) มือเบส เข้ามาร่วมวงคาราบาว ซึ่งในขณะนั้น เล็กและอ๊อด ได้เป็นนักดนตรีอาชีพประจำอยู่กับวงเพรสซิเด้นส์ และมีภาระกิจจะต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศกับเพรสซิเด้นท์ให้เรียบร้อย จึงกลับมาอยู่กับคาราบาวอย่างเต็มตัว

เข้าสู่ปี พ.ศ. 2525 ยุคสมโภชน์ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ครบรอบ 200 ปี อัลบั้มชุดที่ 2 “แป๊ะขายขวด” ได้เกิดขึ้นมา โดยได้ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) เข้ามาเป็นสมาชิกคนที่ 3 ของคาราบาวและร่วมทำอัลบั้มนี้ออกมา โดยให้ พีค๊อกเป็นผู้ผลิต ซึ่งได้ทำเทปออกมา 20,000 ม้วน แต่ขณะนั้นทั้งสองอัลบั้มยังถือว่าไม่สบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่บทเพลงที่โดดเด่นในยุคนี้ก็คือ เพลงกัญชา ที่แอ๊ด คาราบาว มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในการร้อง โดยการลากเสียงได้ยาวนานจนทำให้ผู้ชมต้องเงียบสงัดกันไปเมื่อบทเพลงนี้ถูกร้องขึ้น

ด้วยความมุ่งมั่นของแอ๊ด ทำให้บทเพลงของคาราบาวมีเอกลักษณ์ โดยสะท้อนภาพของสังคมไทยมากขึ้น โดยแอ๊ดได้แต่งเพลงในสไตล์ที่เมืองไทยยังไม่มี ณ ขณะนั้น ในเพลงที่ชื่อว่า “วณิพก” โดยทำดนตรีจังหวะ 3 ช่า สนุกสนาน อีกทั้งเนื้อหาโดนใจคนฟัง และ “วณิพก” นี้เอง ได้ถูกตั้งเป็นชื่ออัลบั้มชุดที่ 3 ของคาราบาว ในปี พ.ศ. 2526 และอัลบั้มนี้เองทำให้ คาราบาวเป็นที่รู้จักของแฟนเพลงทั่วประเทศมากขึ้น และอัลบั้มชุดนี้ ได้มือเบส ที่ชื่อ ไพรัช เพิ่มฉลาด (รัช) เข้ามาร่วมทำงานกับวงคาราบาว

หลังจากนั้นไม่นาน คาราบาวได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 “ท.ทหารอดทน” และถือเป็นอัลบั้มแรกที่คาราบาวโดนแบนเพลง และเพลงที่ถูกแบนก็คือ ท.ทหารอดทน ซึ่งมีเนื้อหาที่ไปพาดพิงเกี่ยวกับทหาร นอกจากนี้ยังมีบทเพลงที่สะท้อนชีวิต เช่นเพลง ตุ๊กตา , คนเก็บฟืน ถือว่าเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมมาก และอัลบั้มชุดนี้ได้ นักดนตรีอาชีพจากห้องอัดอโซน่าเข้ามาเป็นสมาชิกร่วมกับคาราบาวอย่างเต็มตัว คือ เทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่) ตำแหน่งกีต้าร์, อาจารย์ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ตำแหน่งเครื่องเป่า และ อำนาจลูกจันทร์ (เป้า) ตำแหน่งกลอง

ต่อมาปี พ.ศ. 2527 คาราบาวขึ้นสู่จุดสูงสุด ด้วยอัลบั้มชุดประวัติศาสตร์ ชุดที่ 5 “เมดอินไทยแลนด์” เป็นอัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้กับคาราบาวมากที่สุด ด้วยบทเพลงที่ชื่อ “เมดอินไทยแลนด์” ที่มีเนื้อหาประจวบเหมาะกับการลดค่าเงินบาทของรัฐบาลในสมัยนั้น แล้วรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้สินค้าของไทย ทำให้เมดอินไทยแลนด์เป็นอัลบั้มที่ทะลุเป้า ยอดขายกว่า 5 ล้านตลับ และคาราบาวมีการทัวร์คอนเสิร์ตทั้งในประเทศและต่างประเทศ และอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์นี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงนักดนตรีของคาราบาวครั้งสำคัญ ซึ่งมือเบสจากวงเพรสซิเด้นท์ได้เสร็จสิ้นภาระกิจทัวร์คอนเสิร์ตจากอเมริกา และกลับเข้ามาร่วมกับคาราบาว บุคคลผู้นั้นคือ อนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) และบุคคลที่ต้องออกจากวงคาราบาวไปด้วยความเสียใจของประชาชน ก็คือ ไพรัช เพิ่มฉลาด (รัช) มือเบสเดิมของคาราบาว ทั้งนี้เป็นเรื่องของการต่อสู้ การทำงานของวงคาราบาว

ซึ่งนับได้ว่าอัลบั้มชุดเมดอินไทยแลนด์เป็นยุคที่มีสมาชิกครบทั้ง 7 คน ประกอบไปด้วย


สมาชิกคาราบาว (ยุคคลาสิก) พ.ศ.๒๕๒๔-พ.ศ.๒๕๓๑
1. นายยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) (กีต้าร์ , ร้องนำ) หัวหน้าวงคาราบาว 2. นายกิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) (คียบอร์ด, เพอคัสชั่น, กีต้าร์)
3. นายปรีชา ชนะภัย (เล็ก) (กีต้าร์ , ร้องนำ) 4. นายเทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่) (กีต้าร์ , ร้องนำ)
5. นายธนิศร์ ศรีกลิ่นดี (อาจารย์) (คียบอร์ด, เครื่องเป่า) 6. นายอำนาจ ลูกจันทร์ (เป้า) (กลอง)
7. นายอนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) (เบส) 7. นายไพรัช เพิ่มฉลาด (รัช) (เบส)


สมาชิกคาราบาว (ยุคปัจจุบันเพิ่มเติม) พ.ศ.๒๕๓๔-พ.ศ.๒๕๔๘
8. นายลือชัย งามสม (ดุก) (คีย์บอร์ด) 9. นายขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ (หมี) (กีต้าร์)
10. นายชูชาติ หนูด้วง (โก้) (กลองมือ1) 11. นายศยาพร สิงห์ทอง (น้อง) (เพอคัสชั่น)
12. นายเทพผจญ พันธพงษ์ไทย (อ้วน) (กลองมือ 2)



เมดอินไทยแลนด์ สามารถสร้างค่านิยมไทยกลับคืนมาสู่สังคมไทยได้รวดเร็ว โดยคาราบาวได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศไทย อีกทั้งยังนำเมดอินไทยแลนด์ไปสร้างชื่อยังต่างแดน อย่างเช่น อเมริกา อีกด้วย
หลังจากอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์ ได้สร้างชื่อเสียงให้คาราบาวเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ ทำให้การทำงานของคาราบาวในชุดต่อๆ ไป ต้องมีมาตรฐานที่เท่ากับเมดอินไทยแลนด์และต้องดียิ่งขึ้นไป

ซึ่งเป็นผลพวงจากความสำเร็จในอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์นี้เอง ทำให้คาราบาวได้มีห้องอัด เซ็นเตอร์สเตจขึ้นมา ซึ่งเป็นห้องอัดของวงคาราบาวเอง และต่อมาใน ปี พ.ศ.2528 คาราบาวได้ออกผลงานชุดที่ 6 ชื่อชุด “อเมริโกย” ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ คาราบาวได้ใช้ห้องบันทึกเสียง เซ็นเตอร์สเตจนี้ เป็นห้องบันทึกเสียงทุกบทเพลงของคาราบาว แนวเพลงของชุดนี้ยังคงเกาะติดถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยคาราบาวได้นำเหตุการณ์และความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ณ ขณะนั้น อย่างปัญหาชาวนาและการประกันราคาข้าว อเมริกาจำกัดโควต้าการนำเข้าสิ่งทอไทย มาเขียนเป็นเพลงและขับขานให้ประชาชนได้ฟัง ในเพลงอเมริโกย เนื้อหาทางดนตรียังคงเรียบง่ายชัดเจน แต่มีการพัฒนาการทางด้านดนตรีเพิ่มขึ้น

ในปี พ.ศ. 2529 อัลบั้มชุดที่ 7 “ประชาธิปไตย” ด้วยกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยในสถานการณ์บ้านเมืองในยุคนั้นต้องการประชาธิปไตย คาราบาวสะท้อนภาพการได้มาซึ่งประชาธิปไตยผ่านบทเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลง ประชาธิปไตย ผู้ทน และยังมีบทเพลงที่ปลุกใจอย่างเจ้าตาก ที่กระหึ่มกึกก้อง ทั่วธรนิน และบทเพลงอื่นๆ อีก ที่ล้วนแล้วแต่เป็นบทเพลง ที่มีคุณค่าต่อสังคมไทย และอัลบั้มนี้โดน กบว. แบนเพลงคาราบาวไปสามเพลงตามระเบียบ

ในปี พ.ศ. 2530 อัลบั้มชุดที่ 8 “เวลคัมทูไทยแลนด์” หรือเวรกรรมสู่ไทยแลนด์ คาราบาวออกอัลบั้มนี้มาต้อนรับเทศกาลท่องเที่ยวไทยในยุคนั้น เพื่อที่จะชักชวนชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ดนตรีในชุดนี้เป็นดนตรีที่ฟังสบายๆ มีกลิ่นอายของความเป็นไทย อย่างเช่น เวลคัมทูไทยแลนด์ หรือเพลงที่ฟังง่ายอย่างเพลง สบายกว่า ที่ร้องแนวประชดประชัน หรือเพลงบาปบริสุทธิ์ ที่เป็นเรื่องราวของคนรักกันที่ส่งผลถึงลูก หรือเพลงสังกะสี ที่สะท้อนชีวิตของกรรมกร และในอัลบั้มชุดนี้เอง ได้สร้างนักร้องน้องใหม่ของวงการดนตรีไทยขึ้นมา ด้วยเพลงสนุกสนานที่ชื่อ กระถางดอกไม้ให้คุณ โดยอนุพงษ์ ประถมปัทมะ (อ๊อด) มือเบสของคาราบาว

ในปี พ.ศ. 2531 อัลบั้มชุดที่ 9 “ทับหลัง” สถานการณ์ของประเทศไทยในช่วงนั้น เป็นการต่อสู้เพื่อทวงทับหลังนารายณ์บรรทมศีลที่ไปตกอยู่ในมือของต่างชาติกลับคืนมา โดยมีรัฐบาลไทยได้ทำการเรียกร้องขอคืน ซึ่งหลังจากนั้นทางประเทศไทยได้ทับหลังคืนมาสู่แผ่นดินแม่ได้ และไม่น่าเชื่อว่า อัลบั้มชุดทับหลัง จะเป็นอัลบั้มชุดสุดท้ายของการทำงานของสมาชิกคาราบาวทั้ง 7 คน ด้วยเหตุผลอื่นๆอีกมากมาย ที่ไม่สามารถทำให้สมาชิกคาราบาวรวมตัวกันทำงานต่อไปได้

แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) หัวเรือใหญ่ของวงคาราบาว ก็ได้ให้คำสัญญากับพี่น้องแฟนเพลงคาราบาวในคอนเสิร์ตเวทีสุดท้าย ก่อนจะเหลือเพียงความทรงจำ เอ็มบีเคฮอล์ มาบุญครองเซ็นเตอร์ ในคอนเสิร์ต ฅน คาราบาว ว่า ถึงจุดที่สมาชิกคาราบาวต้องแยกย้ายออกไปจากคาราบาว ไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคาราบาวต่อไป

ในปี พ.ศ. 2533 เหลือสมาชิกในวงเพียง 4 คน ประกอบไปด้วย แอ๊ด เขียว เล็ก และอ๊อด ที่ยังคงเป็นแกนนำของคาราบาวในอัลบั้มชุดนี้ โดยมีวงตาวัน เข้ามาเป็นแบ๊คอัพ และสร้างสรรค์อัลบั้มชุดที่ 10 ขึ้นมา โดยใช้ชื่อชุดว่า “ห้ามจอดควาย” ขึ้นมาในนามของคาราบาว โดยมีสีสันทางด้านดนตรีต่างไปจากชุดเดิม แต่ก็ยังคงบทเพลงแนวทางเดิมของคาราบาว เพลงเด่นในชุดนี้ได้แก่ สัญญาหน้าฝน ที่แอ๊ด คาราบาว เขียนขึ้นให้เพื่อนรัก เขียว คาราบาวได้ร้องเพลงนี้ จนเป็นบทเพลงประจำตัวของเขียวคาราบาวไปเลย และบทเพลงถึกควายทุย ค.เขาเดียว ในอัลบั้มนี้ ถือเป็นบทเพลงภาคสุดท้ายของบทเพลงถึกควายทุยที่ถูกเล่าขานตั้งแต่ชุดที่ 1 ถึงชุดนี้

หลังจากอัลบั้มชุดที่ 10 "ห้ามจอดควาย" สมาชิกของคาราบาวอีก 3 คนที่เหลือ ประกอบไปด้วย เทียรี่ เมฆวัฒนา อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และ อำนาจ ลูกจันทร์ รวมตัวกันเริ่มไปทำงานเดี่ยวของตัวเอง และนอกจากนั้น ยืนยง โอภากุล ปรีชา ชนะภัย กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ก็ได้ทยอยไปทำงานเดี่ยวของตนเองเช่นกัน

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับสมาชิกคาราบาวทั้ง 7 คน เป็นคำตอบของแฟนเพลงคาราบาว แต่ความเป็นจริงแล้ว การแยกย้ายกันออกไปทำเดี่ยวของแต่ละคนนั้น เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าการถึงจุดอิ่มตัวของความเป็นคาราบาวการทำงานด้วยกันมานานของสมาชิกทั้ง 7 คนนั้น ความขัดแย้งในการทำงานย่อมมีขึ้นเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ดี สมาชิกทุกคนก็ยังไปมาหาสู่และช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยตลอด

ในปี พ.ศ. 2534 คาราบาวโดยหัวเรือใหญ่ แอ๊ด คาราบาว ได้ออกอัลบั้มชุดที่ 11"วิชาแพะ" โดยมีสมาชิกคาราบาวเพียง 3 คนเท่านั้นคือ แอ๊ด เล็ก และอ๊อด และได้นักดนตรีอาชีพเข้ามาช่วยทำงานให้คาราบาว อาทิเช่น ลือชัย งามสม (ดุก) ตำแหน่งคีย์บอร์ด, ชูชาติ หนูด้วง (โก้) ตำแหน่งกลอง, ขจรศักดิ์ หุตะวัฒนะ (หมี) ตำแหน่งกีต้าร์, ศยาพร สิงห์ทอง (น้อง) ตำแหน่งเพอร์คัสชั่น โดยแนวทางดนตรีของอัลบั้มชุดวิชาแพะนี้ จะมีหลากหลาย แต่ก็ยังคงแนวทางการเมืองอยู่ อาทิเช่นเพลง นาย ก. เป็นการเรียกร้องผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน




ในปี พ.ศ. 2535 อัลบั้มชุดที่ 12 “สัจจะ 10 ประการ” คาราบาวเกาะสถานการณ์การเมืองไทย รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ คาราบาวได้แต่งเพลงให้สำหนับนักการเมือง อาทิเช่น เพลงสัจจะ 10 ประการ หรือเพลงเกี่ยวกับการอนุรักษ์น้ำ เพลงน้ำ เพราะสถานการณ์ช่วงนั้น ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤตขาดแคลนน้ำ รัฐบาลออกมารณรงค์ให้ประชาชนคนไทยร่วมกันประหยัดน้ำ และรัฐบาลได้เลือกวงดนตรีคาราบาว ให้ทัวร์คอนเสิร์ตรณรงค์เรื่องน้ำด้วยเช่นกัน

ในปี พ.ศ. 2536 เป็นอัลบั้มชุดที่ 13 “ช้างไห้” โดยมีแกนนำคาราบาวเพียง 2 คนเท่านั้นคือ แอ๊ด กับ อ๊อด พร้อมกับนักดนตรีแบ็คอัพชุดเดิม ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพลงในชุดช้างไห้นี้ โดยอัลบั้มนี้จะพูดถึงเรื่องธรรมชาติ การใช้ชีวิตของคน และบทเพลงที่ให้กำลังใจ

ในปี พ.ศ. 2537 อัลบั้มชุดที่ 14 “คนสร้างชาติ” คาราบาวเขียนบทเพลง คนสร้างชาติขึ้นมา เพื่อปลุกจิตสำนึกให้กับคนไทยให้รักชาติ และได้คุณพยัคฆ์ คำพันธุ์ เซียนพระมือหนึ่งแห่งประเทศไทย มาแต่งเพลงหลวงพ่อคูณให้กับคาราบาว สร้างความโด่งดังไปทั่วเมือง และในอัลบั้มนี้ ในฐานะคนเพื่อชีวิตแอ๊ดคาราบาวได้แต่งเพลง ครบรอบ 20 ปีคาราวานให้กับวงคาราวานอีกด้วย

ในปี พ.ศ. 2538 อัลบั้มชุดที่ 15 “แจกกล้วย” คาราบาวได้พูดการกระจายอำนาจไปสู่การเมืองระดับท้องถิ่น ในเพลงกำนันผู้ใหญ่บ้าน และเพลงที่เสียดสีผู้ที่โกงกินบ้านเมืองกับเพลง ค้างคาวกินกล้วย และเพลงเดินขบวนที่พยายามบอกกับรัฐบาลว่า ชาวบ้านเดือดร้อนจึงเดินขบวนประท้วงเรียกร้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ

อีกไม่กี่เดือนผ่านมาในปี พ.ศ. 2538 สิ่งที่แฟนเพลงคาราบาวรอคอยก็มาถึง สมาชิกคาราบาวทั้ง 7 คน ได้กลับมารวมตัวกันเฉพาะกิจ ในวาระครบรอบ 15 ปีคาราบาว และได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเพลงออกมาในอัลบั้มชุดที่ 16 ให้ชื่ออัลบั้มว่า "หากหัวใจยังรักควาย" ประกอบไปด้วย “หากหัวใจยังรักควาย1 และหากหัวใจยังรักควาย 2” บทเพลง 20 เพลงเต็มอิ่มสมกับการรอคอยที่ยาวนาน โดยมีเพลงจังหวะสามช่า เพลงสามช่าคาราบาว เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราว 15 ปีของคาราบาวได้เป็นอย่างดี และมีเพลงอื่นๆ ที่เกาะสถานการณ์อย่างเช่น อองซานซูจี เต้าหู้ยี้ รวมถึงบทเพลงแนวปรัชญาอย่างเช่นเพลง ลุงฟาง เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2540 อัลบั้มชุดที่ 17 “เส้นทางสายปลาแดก” บทเพลงในอัลบั้มนี้เป็นบทเพลงที่ร่วมอนุรักษ์ความเป็นไทย เช่น เพลงน้ำพริกแกงป่า เพลงกลองยาว และยังเป็นการครบรอบปีที่ 12 ของบทเพลงเมดอินไทยแลนด์ ซึ่งมีการเรียบเรียงดนตรีใหม่มาไว้ในอัลบั้มนี้ด้วย

ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2540 อัลบั้มชุดที่18 “เช ยังไม่ตาย” บทเพลงในอัลบั้มนี้ได้กล่าวถึงบุคคลที่เป็นนักต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็น เช กูวารา , อองซาน ซูจี , อัสนี พลจันทร์ บทเพลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญในการต่อสู้ต่ออำนาจเผด็จการต่างๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้บุคคลรุ่นหลังได้รับรู้ต่อไป

ในปี พ.ศ. 2541 อัลบั้มชุดที่ 19 “อเมริกันอันธพาล” เป็นการกลับมาร่วมงานกับคาราบาวอีกครั้งของ ปรีชา ชนะภัย (เล็ก) เทียรี่ เมฆวัฒนา (รี่) และกิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) บทเพลงในอัลบั้มนี้ แอ๊ด คาราบาวได้ร้องเพลงเหน็บแนมประเทศมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ในเพลงอเมริกันอันฑพาล ซึ่งอเมริกันได้ออกกลอุบายตั้ง IMF ขึ้น ปล่อยเงินกู้ให้ประเทศไทย จนทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้อเมริกาอย่างมหาศาล และการกลับเข้ามาทำงานของสมาชิกคาราบาวเดิม เล็ก คาราบาว ได้ร้องเพลงเกี่ยวกับเด็ก ชื่อเพลงไอ้หนู ส่วนเทียรี่ได้มาขับขานเพลงรักตามสไตล์ตัวเอง ในชื่อเพลงรักนี้มีแต่เธอ ได้อย่างประทับใจ

ปลายปี พ.ศ. 2541 อัลบั้มชุดที่ 20 “พออยู่พอกิน” ในยุคนี้ประเทศไทยมีหนี้สินจากต่างประเทศมหาศาล ทำให้ระบบเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ประชาชนคนไทยใช้จ่ายไม่คล่องตัวเหมือนแต่ก่อน เพลงพออยู่พอกิน เป็นเพลงที่มาจากพระบรมชาโอวาทจากในหลวง ให้ประชาชนคนไทยใช้ชีวิตแบบพออยู่พอกิน ไม่ฟุ้งเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีบทเพลง

ในปี พ.ศ. 2543 อัลบั้มชุดที่ 21 “เซียมหล่อตือ” ยังคงเกาะกระแสการเมือง โดยมีเพลงเซียมหล่อตือ หมูสยาม เหน็บแนมนักการเมืองที่ชอบกินบ้านโกงเมืองในภาวะสถานการณ์ของประเทศระส่ำย่ำแย่ ต่อด้วยเพลงสัญญาหน้าเลือกตั้ง ที่ให้บอกกับประชาชนว่าอย่าไปซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ เพลงบางระจันวันเพ็ญ ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องบางระจัน ที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ก็อยู่ในอัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน

ในปี พ.ศ. 2544 อัลบั้มชุดที่ 22 “สาวเบียร์ช้าง” อัลบั้มชุดนี้อยู่ในช่วงที่รัฐบาลที่มีนโยบายให้ปิดสถานบริการกลางคืนในเวลาที่กำหนด ทำให้คนทำงานกลางคืนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เพลง ปุรชัยเคอร์ฟิว และเพลงอดติ๊บอดตาย เป็นคำตอบของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดี นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ไว้อาลัยเหตุกาณ์ตึกถล่มที่เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในเพลง เดือน 9 เช้า 11

ในปี พ.ศ. 2545 อัลบั้มชุดที่ 23 “นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่” อัลบั้มนี้ออกมาพร้อมกับธุรกิจใหม่ของหัวเรือใหญ่แห่งคาราบาวคือ ยืนยง โอภากุล นั่นก็คือ ธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อคาราบาวแดง โดยใช้สโลแกนนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นตัวนำ โดยนำนักต่อสู้ในอดีตแต่ละยุคสมัยมาเป็นจุดขาย ผลงานเพลงชุดนี้นับว่ามีเพลงมากที่สุดตั้งแต่คาราบาวออกอัลบั้มมา มากถึง 13 เพลง มีเพลงดีๆ อย่าง คนล่าฝัน เป็นเพลงที่ฟังแล้วทำให้ผู้ที่จะยอมแพ้ต่อสู้กับชีวิตขึ้นมาได้ และยังมีเพลงนมหด ที่แอ๊ดแต่งต่อว่าพวกชอบเอาเปรียบนักเรียน เอานมบูดมาให้นักเรียนกินกัน และยังมีบทเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องพรางชมพู ที่แอ๊ดได้แสดงและแต่งเพลงให้สองเพลง ชื่อเพลงพรางชมพู และเรากระทบตุ้ด

ในปี พ.ศ.2546 คาราบาวไม่มีผลงานเพลงชุดใหม่ในปีนี้ แต่คาราบาวได้นำอัลบั้มที่เป็นประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ.2547 ของคาราบาวมาบันทึกเสียงใหม่ทั้งหมด นั่นคือ อัลบั้ม "เมดอินไทยแลนด์" โดยใช้ชื่ออัลบั้มนี้ว่า "เมดอินไทยแลนด์ ภาค 2546 สังคายนา" เพราะด้วยความตั้งใจของ แอ๊ด คาราบาว ที่ต้องการทำให้อัลบั้มชุดมาสเตอร์พีชนี้ มีความสมบูรณ์ที่สุด ในทุกๆ ด้าน เพื่อคงสภาพงานอัลบั้มคลาสสิคที่สุดของคาราบาวให้ยั่งยืนชั่วกาลนาน ด้วยคุณภาพของการบันทึกเสียงในยุคนี้

ในปี พ.ศ. 2548 อัลบั้มชุดที่ 24 “สามัคคีประเทศไทย” ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยในยุคนี้ เข้าสู่ยุควิกฤตทางสังคม มีกลุ่มคนร้ายที่ก่อความไม่สงบให้เกิดขึ้น ใน 3 จังหวัดชายแดนภายใต้ของไทย ทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน คาราบาวได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสมานฉันท์ของคนไทยโดยใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางในการสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ในเพลง “ขวานไทยใจหนึ่งเดียว” และเพลงสามัคคีประเทศไทย เพื่อปลุกใจให้คนไทยรักกัน นอกจากนี้ยังมีเพลง อยู่กับก๋ง ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องอยู่กับก๋งที่คาราบาวได้แต่งขึ้นไว้ โดยเนื้อหาของบทเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่สร้างสำนึกที่ดีให้กับบุญคุณของประเทศไทย

ไม่เพียงแต่ 24 อัลบั้มนี้เท่านั้น ยังมีผลงานอัลบั้มอื่นๆ ที่ออกมาคาบเกี่ยวระหว่าง 24 อัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อัลบั้มพิเศษในวาระต่างๆ อัลบั้มบันทึกการแสดงสดคาราบาว หรืออัลบั้มเดี่ยวของศิลปินคาราบาว เป็นต้น กล่าวได้ว่า คาราบาวเป็นวงดนตรีวงแรกและวงเดียวในประเทศไทย ที่มีการทำงานอย่างต่อเนื่องและยาวที่สุด อีกทั้งได้สร้างสรรค์บทเพลงที่มีคุณูประการกับสังคมไทยมากมาย หลายยุค หลายสมัย แต่ละบทเพลงล้วนแล้วแต่ความหมายที่ดี ที่สามารถนำไปเป็นข้อคิดในการดำรงชีวิตของทุกทคนได้

ผู้เขียน : ชัยยุทธ์ ลิมลาวัลย์
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๘

เด็กน้อย คอนเสิร์ตระบำสยาม มาลีฮวนน่า



เด็กน้อย
จากเด็กน้อยไร้เดียงสา วันเวลาที่ผ่านไป ย่อมสู่วัยที่แก่กว่าสู่โลกมายาที่สับสน
ไม่อยากจะให้ เป็นเธอ เธอผู้ที่ ใฝ่ดีแต่ สังคมทุกวันนี้ ยังต่อสู้และดิ้นรน ต้อง
ทุกข์ทนกับมายาใช่ ว่าเธอจะชั่วช้า ใช่ว่าเธอจะเหลวไหล แต่ดอกไม้ โดนขยี้...แหลกลาญ
* จึงอยากลองบุหรี่ จึงอยากดูดกัญชา อยากเมาสุรา อยากซ่านแนบเนื้อ
จึงอยากลองบุหรี่ จึงอยากดูดกัญชา อยากเมาสุรา อยากซ่านแนบเนื้อ
** โลกวันใหม่ยังมืดมิด โอ้ความจริงใช่ที่คิด จึงลองผิดลองถูก
*** โอ้จะมีใครบ้างไหม มาเข้าใจตัวเธอ มาพาเธอไปพบทาง
(*,**,***)(**,***)

มาลีฮวนน่า



ประวัติมาลีฮวนน่า

มาลีฮวนน่า ดอกไม้ดนตรีจากดินแดนด้ามขวาน
“ไม่บอก เธอไม่ รู้แน่ อยากเข้าไปแค่ หัวใจ ที่ยังพรือโฉ้ ก็แค่ผู้ชาย
อยู่โบร๊กะแถมยังอดโซ รักของพี่ รักนี้ แค่รักหย่อม ๆ อยาก มีใคร สักคน
ช่วยผ่อนคลาย ความเหงา ความเศร้าที่ใจ บน ทางเดิน กว้าง ไกล ยังไม่มีใคร หัวใจ
พี่ยังพรือโฉ้...”

ย้อนหลังไปราวๆ 15 ปี ในช่วงที่วงการเพลงไทย อวลไปด้วยเสียงของดนตรีอัลเทอร์เนทีฟ ดูเหมือนไม่มีที่ว่างให้กับงานเพลงในแนวทางอื่น
แต่มีบทเพลงหนึ่ง ที่เล่น บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่เรียบง่าย เสียงร้องสำเนียงใต้ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และท่วงทำนองที่ลื่นไหล ก็สอดแทรกเสียงกีตาร์ที่แตกพร่า ขึ้นมาเป็นเพลงฮิตได้ในยุคนั้น
ยุคที่แวดวงดนตรีอินดี้เบ่งบาน ยุคที่วงดนตรีจากแดนใต้ที่ชื่อว่า “มาลีฮวนน่า” เริ่มต้นเดินบนถนนดนตรีของเมืองไทย

***************************

มาลีฮวนน่าเริ่มต้นตั้งวงกันในปี 2534 จากความเป็นเพื่อนของกลุ่มนักเรียนศิลปะ และผองเพื่อนอีกหลายหลากสาขาอาชีพ ที่มาใช้ชีวิตกันในกรุงเทพฯ ในช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ในตัว

มาลีฮวนน่า มีแกนนำคือ คฑาวุธ ทองไทย นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ธงชัย รักษ์รงค์ นักดนตรีที่เล่นตามร้านต่างๆ ทางภาคใต้ และสมพงศ์ ศิวิโรจน์ ที่กำลังศึกษาที่โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป โดยที่มาของชื่อวงนั้น ผันมาจากคำว่า มารีจัวน่า ที่แปลว่ากัญชา

พวกเขาร่วมกันทำงานเพลงที่มีแรงขับมาจากความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เพื่อระบายความอัดอั้นอันเกิดจากความแตกต่างของวัย และปมด้อยทางสถานภาพสังคม หากก็ไม่ได้มีผลงานเป็นรูปเป็นร่างออกมา

จนปี 2537 มาลีฮวนน่าก็ออกเดินทางบนถนนสายดนตรีเต็มตัว ด้วยผลงานชุดแรก “บุปผาชน” ที่ได้รับการช่วยเหลือจากอาจารย์ยงยุทธ คำศรี แกนนำของวงด้ามขวาน วงดนตรีเพื่อชีวิต ที่ทำงานในแบบใต้ดินออกมา และประสบความสำเร็จมีแฟนเพลงติดตามเหนียวแน่น จนทำให้ทางวงมาลีฮวนน่ามองเห็นช่องทาง ที่จะส่งต่อความคิด ทัศนคติต่างๆ ที่พวกเขามีในบทเพลงออกไป โดยที่ไม่ต้องอาศัยบริษัทเพลงใหญ่ๆ มาสนับสนุน

อัลบั้ม “บุปผาชน” บันทึกเสียงกันที่ห้องอัดของฮิเดกิ มอริ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้นในย่านบางบัวทอง ภาพปกก็เป็นฝีมือของสมพงศ์เอง ส่วนคฑาวุธได้วาดภาพลายเส้นที่ปกใน ปกอัลบั้มพิมพ์กันที่โรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนเทปคาสเส็ทท์ ก็ให้บริษัทออนป้าช่วยก็อปปี้ ให้ทางวงกับเพื่อนๆ ช่วยกันนำไปวางขายตามแผงเทปต่างๆ

สำหรับสมาชิกที่ร่วมกันทำงานในตอนนั้นประกอบด้วย คฑาวุธ ทองไทย-ร้องนำ, ธงชัย รักษ์รงค์ ร้องนำ/ กีตาร์, สมพงศ์ ศิวิโรจน์ แต่งเพลง และเชิดชัย ศิริโภคา เข้ามาดุแลในเรื่องธุรกิจ เพียงเวลาไม่นานนัก บทเพลงในแนทางโฟล์ค ที่เรื่องราวบ่งบอกถึงชีวิตของผู้คน และสังคมรายรอบ โดดเด่นด้วยดนตรีสำเนียงใต้ กับเนื้อร้องที่เป็นภาษาถิ่น ของมาลีฮวนน่าก็เริ่มได้รับความนิยม โดยมีเพลง หัวใจพรือโฉ้ ลมเพลมพัด เรือรักกระดาษ เป็นแรงส่งสำคัญ และทำให้อัลบั้ม บุปผาชน ของมาลีฮวนน่าเป็นอัลบั้มเพลงใต้ดิน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดชุดหนึ่งในบ้านเรา และนับจากนี้ พวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักแค่ในแวดวงคนฟังเพลงเพื่อชีวิต แฟนเพลงที่เป็นนักคิดนักเขียนอีกต่อไปแล้ว

ยิ่งในปี 2538 บริษัทไมล์สโตน ของมาโนช พุฒตาล ได้ชักชวนวงมาลีฮวนน่าเข้าไปร่วมงาน ยิ่งทำให้พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนสามารถออกทัวร์ทั่วประเทศได้ในปีต่อมา ซึ่งถือว่ามีวงใต้ดินเพียงไม่กี่วงที่ทำได้แบบนี้ และได้รับความนิยมในลำดับต้นๆ ของวงการเพลงเพื่อชีวิต

มาลีฮวนน่า ยังออกอัลบั้มมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2540 พวกเขามีอัลบั้มชุดที่ 2 “คนเช็ดเงา” ออกมา ก็ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงอย่างอบอุ่น โดยมีเพลง โมรา และชะตากรรม เป็นเพลงดังประจำอัลบั้ม

ปี 2542 มาลีฮวนน่า ออกอัลบั้มชุดที่ 3 “กลับกลาย” ที่โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่เต็มไปด้วยบทกวี ขณะที่เรื่องราวก็เน้นการปุกปลอบให้กำลังใจ

ในปีถัดมา มาลีฮวนน่าก็เปิดบริษัทของตัวเองในชื่อ ดรีม เรคอร์ดส์ ที่สองแกนนำของวง คฑาวุธ ทองไทย กับธงชัย รักษ์รงค์ เป็นหุ้นส่วนใหญ่ โดยมีอัลบั้มชุดที่ 4 “เพื่อนเพ” ออกมาเป็นอัลบั้มแรก อัลบั้มชุดนี้มีที่มาจากการที่ทางวงได้เดินางไปเปิดการแสดงในที่ต่างๆ แล้วได้พูดคุยกับเพื่อนพ้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มศิลปิน นักประพันธ์ ที่หลายๆ คนเขียนงานเพลงขึ้นมาแล้วไม่มีโอกาสที่จะได้เผยแพร่ มาลีฮวนน่าจึงนำบทเพลงของพวกเขามาใส่ในอัลบั้ม เพื่อนเพ เพื่อที่จะได้เผยแพร่ไปในที่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

มาลีฮวนน่ายังสานต่อผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2545 พวกเขาออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด “ระบำสยามทาส” และตามด้วย “ลมใต้ปีก” ในปี 2546 ก่อนที่สมาชิกของวงจะพักการทำงานดนตรีในนามมาลีฮวนน่าลงชั่วคราว โดยต่างคนต่างก็หันไปทำงานประจำ หรืองานที่ตัวเองสนใจ คฑาวุธ ทองไทย เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ทับแก้ว, ธงชัย รักษ์รงค์ ทำธุรกิจห้องอัดเสียง, สมพงษ์ ศิวิโรจน์ ใช้เวลากับการเขียนเพลง

เรียนและงาน



เรียนและงาน
Em/D

Em D
ออกเดินจากบ้านสู่เมืองฟ้า สู่เมืองเทวาเมืองบางกอก
D Em
เดินทางเดียวดายจากบ้านนอก มาเล่า มาเรียน มาศึกษา
Em D
เจอะคนทั้งแบบนี้แบบนั้น เจอะทั้งแมงวันทั้งจิ้งจอก
D Em
เจอทั้งคนดีคนกลับกลอก คนหวังปลอกลอก มีมากมาย
Em D
ตั้งใจร่ำเรียนทุกค่ำเช้า ถึงหนักถึงเบาไม่ร้องบอก
D Em
อยู่ไปวันๆ เหมือนมีปลอก ลากคอให้เดินตามทาง
Em D
ชี้ให้ฉันเดินไปทางไหน จะเร่งรีบไปตามคุณบอก
D Em
หัวใจเฉื่อยชาแต่ช้ำชอก แตกหักยับเยิน..ป่น
Em D
+++ชี้ให้ฉันเขียนฉันรีบเขียน ชี้ให้ฉันเรียนให้ฉันสอบ
D Em
แข่งขันกันไปหลายรอบ มาเลือกเอาม้าพันธุ์ดี
Em D
ทำเพื่อหนทางที่วาดหวัง รีดเข็นพลังพุ่งพวยออก
D Em D/Em
ก็ตามประสาคนจนตรอก หวังงานทำเงินเลี้ยงครอบครัว..
Em D
จวบจนฉันจบการศึกษา รับใบปริญญาที่ฉันชอบ
D Em
สุขใจแค่ไหนไม่ต้องบอก ยิ้มพลางเดินพลางสบายดี
D Em
รีบเดินย้ำต๊อกหางาน ความสุขชื่นบานที่เคยมี
D Em
เริ่มหดเริ่มหายลงทุกที ไม่มี ไม่มี ไม่มีงาน
D Em
รับคน15 คนทำงาน เด็กฝากเด็กท่านเอา 1 โหล
D Em D/Em
ที่เหลือหมื่นพันร้องไห้โฮ ระบบทางแก้ไม่มี............โอ๊ย....
Em D
หลายที่หลายแห่งคนทำงาน เช้าชามเย็นชาม 2 ขั้นปี
D Em
แต่คนขยันทำงานดี ไม่มี ไม่มี ไม่มองมา
D Em
อย่างงี้เมื่อไหร่บ้านเมืองไทย เจริญก้าวไปทัดเทียมทัน
D Em D/Em
นานาประเทศดังคำขวัญ เขียนเอาไว้สวยดี
D Em
อุตส่าห์ร่ำเรียนมาแทบตาย แต่ผลสุดท้ายต้องตกงาน
D Em D/Em
หมดเงินหมดแรงอยู่ตั้งนาน วิมานมาพังไร้ชิ้นดี
Em D
แม่จ๋า.. ลูกกลับมาแนบเนา กลับสู่บ้านเราด้วยช้ำชอก
D Em
ทุ่มเทกายใจให้บ้านนอก หลังถูกจับขังหลายปี
Em D
แม่จ๋า.. ลูกกลับมาแนบเนา กลับสู่บ้านเราด้วยช้ำชอก
D Em
ทุ่มเทกายใจให้บ้านนอก หลังถูกจับขังหลายปี
Em/D....................

ความเป็นมาเพลงเพื่อชีวิต


ประวัติที่มาเพลงเพื่อชีวิตแค่บางส่วน
ความเศร้าใจกับการเมืองไทยยุคนี้...เข้าเวปเปิดหาเพลงฟัง ไม่มีเพลงอะไรที่จะฟังได้ดีเท่ากับเพลงเพื่อชีวิต นั่งฟังไปๆ เห็นแก่นแท้ของชีวิต ไม่ได้แล้วลองหาประวัติของเพลงเพื่อชีวิตดีกว่า รู้แต่ว่าคนที่แต่งเพลงเพื่อชีวิตในสมัยก่อนนั้น จะเป็นเพลงที่เสียดสีนักการเมืองในสมัยนั้น ซึ่งปิดหู ปิดตา ปิดปาก ประชาชนเหมือนกับที่นักการเมืองสมัยนี้กำลังทำอยู่ ตามประวัติที่อ่านเค้าบอกว่าเพลงเพื่อชีวิตรุ่นบุกเบิกอยู่ในปี 2480 นี่ก็ร่วม 72 ปีได้แล้ว โดยจะสะท้อนภาพความทุกข์ยากของผู้คน การโกงกินของผู้แทน, นักการเมือง ออกมาในบทเพลงที่คนแต่งต้องการสื่อออกมาในสังคมยุคนั้น

และในปี 2490 เรียกว่าเป็นขุมทองของเพลงชีวิต และมีการปิดกั้นเพลงชีวิตบางเพลงด้วยการไม่อนุญาตให้ออกอากาศทางสถานีวิทยุ โดยรัฐบาลจอมพล ป. ในยุคนั้น ไม่แตกต่างไปจากการที่คณะกรรมการบริการวิทยุและโทรทัศน์ (กบว.) สั่ง “แบน” หรือถ้าอย่างเห็นๆ ตอนนี้ก็คือ เวปบางเวป สถานีวิทยุบางสถานีถูกสั่งปิดไปอย่างไร้เหตุผลและรังแกกัน และเพลงบางเพลงในยุคนี้ยิ่งถูกห้าม คนก็ยิ่งอยากฟัง และหามาฟัง ดังนั้น เทปและแผ่นเสียงจึงขายดี

เพลงลูกทุ่งจึงเกิดในยุคสมัยนี้และเพลงเพื่อชีวิตก็ค่อยๆได้รับความนิยมจนกระทั่งปัจจุบันนี้ซึ่งเรียกยุคนั้นว่า ยุคเผด็จการครองเมืองจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 จะเป็นช่วงที่เพลงเพื่อชีวิตแบบปัญญาชนได้เกิดขึ้น และสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทางการเมืองในยุคสมัยนั้นด้วย และเพลงเพื่อชีวิต สมัยนั้นให้ความหมาย คือ “เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน”

“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเขาตีแผ่เรื่องราวความไม่เป็นธรรมของสังคมเราออกมาอย่างไร

“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเขาปลูกฝังอุดมคติอะไรให้แก่คนหนุ่มคนสาวและประชาชน

“เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” พวกเราเรียกร้องสิ่งใดกลับคืนมาจากนักปกครองเผด็จการ และส่งคืนสิ่งใดให้แก่ประชาชน


“สู้เข้าไปอย่าได้ถอย
มวลชนคอยเอาใจช่วยอยู่
รวมพลังทำลายเหล่าศัตรู
พวกเราสู้เพื่อความยุติธรรม
เราเดินเคียงบ่าเคียงไหล่
สู้ต่อไปด้วยใจมุ่งมั่น
เขาจะฟาดเขาจะฟัน
เราไม่พรั่นพวกเราสู้ตาย
สู้เข้าไปอย่าได้หนี
เพื่อเสรีภาพอันยิ่งใหญ่
รวมพลังผองเราเหล่าชาวไทย
สู้เข้าไปพวกเราเสรีชน”

นี่คือบทเพลง “สู้ไม่ถอย”ที่นักศึกษา ม.รามคำแหงกลุ่มหนึ่งออกหนังสือในนาม “ชมรมคนรุ่นใหม่” ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยยังไม่มีคำตอบ” ตีพิมพ์ข้อความกระทบกระแทกปัญหาการต่ออายุราชการของจอมพลประภาส จารุเสถียร ที่อ้างว่าเพราะสถานการณ์ต่างประเทศไม่น่าไว้วางใจ หนังสือดังกล่าวมีถ้อยคำเสียดสี “สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่มีมติให้ต่ออายุสัตว์ป่าอีกหนึ่งปี” ทำให้นักศึกษา 15 คนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และ 9 คน ถูกลบชื่อออกจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาและประชาชนจำนวนมากเห็นว่าไม่ยุติธรรม จึงพากันรวมตัวประท้วงที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการชุมนุมประท้วงข้ามวันข้ามคืน ทั้งมีการแต่งเพลง “สู้ไม่ถอย” โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

วันที่ 6 ตุลาคม 2519 คือ ช่วงเวลาที่ประชาชนแตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน คือ ฝ่ายที่มีความคิดก้าวหน้า อันมีนิสิตนักศึกษาเป็นแกนนำ และฝ่ายอนุรักษ์นิยม อันประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร นักเรียนอาชีวะ และลูกเสือชาวบ้าน มีการปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของฝ่ายหลังเป็นเหตุให้เกิดการสังหารโหดภายในมหาวิทยาลัย การต่อสู้กันด้วยความรุนแรงทางการเมืองในครั้งนั้น นำไปสู่การเสียเลือดเนื้ออย่างมากมายของนิสิตนักศึกษา ที่นำความเศร้าสลดใจไปทั่วโลก ได้มีการยึดอำนาจทางการเมืองโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า มีการประกาศเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2517 ยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมืองและมีการตั้งคณะรัฐมนตรีพลเรือนมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นการสิ้นสุดยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ที่ได้มาด้วยการต่อสู้รวมตัวกันของนิสิต นักศึกษา ประชาชน

การเมืองจุดนี้ นับว่าเป็นจุดสำคัญทางความคิดของนักศึกษาปัญญาชน ความคับแค้นต่อการถูกกระทำ ต่อภาพที่ได้เห็น ต่อการบาดเจ็บล้มตายของเพื่อนฝูง จึงเป็นบรรยากาศที่บีบคั้นทางความคิดอย่างมาก และทำให้นักศึกษาปัญญาชนส่วนหนึ่งตัดสินใจเลือกเอาหนทางที่เหลืออยู่เพียงทางเดียวคือ เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการพลเรือนซึ่งมีทหารคอยหนุนหลัง

“อ้อมอกภูพานคือชีวิตใหม่
คือมหาวิทยาลัยคนกล้าหาญ
จะโค่นล้มไล่เฉดเผด็จการ
อันธพาลอเมริกาอย่าหวังครอง
สู้กับปืนต้องมีปืนยืนกระหน่ำ
พรรคชี้นำตะวันแดงสาดแสงส่อง
จรยุทธ์นำประชาสู่ฟ้าทอง
กรรมาชีพลั่นกลองอย่างเกรียงไกร”

เนื่องจากรัฐบาลได้สร้างความคับแค้นกับพวกเขาอย่างแสนสาหัส และการมีชีวิตอยู่ในเมืองมิได้ให้ความหวังอะไรในชีวิตแก่พวกเขาเลย ดังนั้นบทเพลงเพื่อชีวิตที่เคยอยู่ในเมืองหลวง ก็ได้เข้าสู่ป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งจะเป็นส่วนที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากยุคประชาธิปไตยเบ่งบานในป่าเขาลำเนาไพร

ได้เกิดรัฐบาลเผด็จการ ซึ่งนับเป็นยุคมืดทางการเมืองไทยได้ยุคหนึ่ง เค้าเปรียบรัฐบาลสมัยนั้น เป็นเช่นเนื้อหอยนิ่มๆ ที่มีเปลือกหอย ก็คือ ทหารคอยคุ้มครอง และช่วยกันวางแผนการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย นโยบายที่เด่นชัดที่สุดคือ การต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบให้เห็นถึงหายนะภัยอันเกิดจากลัทธิ และขบวนการทางการเมืองของพวกคอมมิวนิสต์ ดังนั้นนักศึกษาประชาชนที่เปลี่ยนวิถีทางเข้าต่อสู้กับรัฐบาลในป่าเขานั้น จึงเป็นเป้าหมายหนึ่งที่รัฐจะต้องปราบปรามให้ราบคาบ

นอกจากนี้ ยังมีการจำกัดเสรีภาพทางความคิดอย่างมากที่สุด มีการตรวจสอบสิ่งตีพิมพ์และประกาศรายชื่อหนังสือที่ห้ามอ่าน หรือมีไว้ในครอบครองจำนวน 204 รายการ มีการควบคุมสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัดขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ออกหนังสือพิมพ์เพื่อเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลเอง ได้แก่ หนังสือพิมพ์เจ้าพระยา และมีการออกรายการโทรทัศน์ของบรรดาคณะรัฐมนตรีอยู่เป็นประจำ ทั้งแถลงการณ์และออกมาร้องเพลงเชียร์รัฐบาลเอง และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ก็ถูกจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ให้งดการจัดอภิปรายทางการเมือง และการแสดงที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น

ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับสื่อจากฝ่ายราชการมากกว่า ที่มองเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกขายชาติ จึงเป็นระยะหนึ่งที่แนวเพลงเพื่อชีวิตไม่ได้ปรากฏสู่สายตาประชาชน แต่ในขบวนแถวของนักศึกษาปัญญาชนที่อยู่ในเมืองแล้ว ยังคงมีการสานต่อทางความคิดของศิลปินเพลงในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานอยู่ตลอดเวลา และรัฐบาลสมัยนั้นพยายามสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้ทุกคนทุกฝ่ายยอมรับ แต่เป็นความผิดพลาดพลิกผันอย่างมหาศาล กลายเป็นรัฐบาลตลกมีการเยาะเย้ยถากถางเป็นการบ่อนทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลเอง กลุ่มที่พยายามทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล ก็คือทหารบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย

วันที่ 26 มีนาคม 2520 พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ลุกขึ้นมาปฏิวัติแต่ไม่สำเร็จ และพลเอกฉลาดถูกตัดสินประหารชีวิต จากสภาพการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ได้มีการแตกแยกเกิดขึ้นในหมู่ผู้นำโดยเฉพาะทหาร และชี้ให้เห็นถึงเสถียรภาพที่อ่อนมากของรัฐบาล ในที่สุดฝ่ายทหารก็ยึดอำนาจได้สำเร็จเมื่อ 20 ตุลาคม 2520 และเกิดรัฐบาลใหม่หลังการยึดอำนาจ

พ.ศ.2520 เป็นนโยบายการผสมผสานระหว่างการเมืองรูปแบบเก่า กับการรอมชอมการเปลี่ยนแปลง เพื่อสนองตอบสภาวะแวดล้อมอันใหม่ นั่นก็คือ การควบคุมอำนาจทางการเมืองขั้นพื้นฐานไว้ในมือข้าราชการ (ทหารเป็นนายก) ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้แสดงออกในรูปแบบของการเลือกตั้ง มีรัฐสภา ขณะเดียวกันก็มีวุฒิสมาชิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหารนับเป็นช่วงผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองรัฐบาลตรวจสอบสื่อมวลชนน้อยลง วิทยุ โทรทัศน์ มีเสรีภาพในการจัดรายการมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้มีสิ่งพิมพ์ที่แสดงความคิดก้าวหน้าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม ออกมาได้ เช่น มติชน อาทิตย์ โลกหนังสือ และงานพ็อกเก็ตบุ๊คของปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า นักศึกษาปัญญาชน เริ่มมีการเคลื่อนไหวเริ่มมีการอภิปรายทางศิลปวัฒนธรรม การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และปัญหาต่างๆ ในสังคม อย่างเปิดเผยมีการเกิดขึ้นของวงดนตรีเพื่อชีวิตทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย วงที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ วงแฮมเมอร์ และวงฟ้าสาง ที่สะท้อนภาพสังคมและชีวิตทั่วๆ ไป โดยเฉพาะภาพความอดอยากยากจนในชนบทภาคอีสาน มีวงดนตรีที่เล่นเพลงแนวเพื่อชีวิตหลายวงได้แก่ วงชีวี ซึ่งแนวดนตรีคล้ายๆ กับวงฟ้าสาง แต่จุดที่ชีวีเน้นกลับไม่ใช่ความยากจนในชนบท หากเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา เป็นการใช้สื่อเสียงเพลงปลุกสำนึกเน้นย้ำอุดมการณ์ จุดประสงค์ของชีวีซึ่งอยู่ที่การได้เปิดเผยความจริง และได้ระบายความรู้สึกที่บีบคั้นอย่างเศร้าหมองมาโดยตลอด ความคิดที่รุนแรงและอารมณ์ความรู้สึกที่เจ็บปวดร้าว

จากเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคมร่วมกับ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา แตกกระจัดกระจาย ลี้ภัยคณะปฏิรูปปกครองแผ่นดิน เข้าสู่เขตป่าเขาพื้นที่การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้แปรสภาพไปเป็นศิลปินปฏิวัติดังนั้นเพลงเพื่อชีวิตที่สร้างสรรค์ในสภาวะนี้ จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นเพลงปฏิวัติ

ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตยุคนั้นเกือบทั้งหมดเป็นนักศึกษา มีกิจกรรมด้านการเมืองและวัฒนธรรม ไม่มีวงดนตรีที่ประกอบวงลักษณะอาชีพ หรือกึ่งอาชีพ แม้บางวงจะมีผลงานบันทึกเสียงของตนเอง เว้นแต่คาราวาน การลี้ภัยเข้าสู่เขตป่าเขากระจัดกระจาย เป็นการตัดสินใจของแต่ละบุคคล อาจเกาะกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แทบไม่เหลือสภาพเป็นวงดนตรี อาจมีเพียงคาราวาน ที่เป็นรูปวงสมบูรณ์พร้อม

“วณิพก” คือบทเพลงเพื่อชีวิต ที่ปลุกกระแสวงการเพลงไทยอย่างที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน และ“เมด อิน ไทยแลนด์” ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ในทุกๆ ด้าน พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ, โฮป, คนด่านเกวียน, กะท้อน, คีตาญชลี, นิรนาม (ในยุคแรก) มาจนถึง ซูซู, พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์, อินโดจีนและอีกหลายคน หลายวง รวมถึงงานเดี่ยวของสมาชิกวงคาราวาน คาราบาว จะมากจะน้อยก็ล้วนมีส่วนหนุนเนื่องให้กระแสเพลงเพื่อชีวิตยุคที่ 3 ถาโถมรุนแรงจนถึงที่สุดเปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกระดับหนึ่งจากบทเพลงประท้วง เพลงแห่งอุดมการณ์ กลายมาเป็นเพลง “สะท้อนสังคม” ที่คลายความรุนแรงลงไปตามกระแสการเมืองและความเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เคลื่อนสู่สังคมทุนนิยม บริโภคนิยม (ไม่ นับรวมบางส่วนในงานเพลงของคาราบาวที่แตกกระแสไปเป็น “เพลงการเมือง” อย่างชัดเจนนับตั้งแต่งานชุด อเมริโกย) และเฉลียง อัสนี-วสันต์ โชติกุลยุคแรก และงานบางส่วนของ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ของจรัล มโนเพ็ชร และฤทธิพร อินสว่าง ยุคปัจจุบัน เพลงเพื่อชีวิตได้เข้ายึดครองเขตแดนที่แน่นอน บริเวณหนึ่งในตลาดเพลงไทยแล้ว นั่นคือ ความสำเร็จ และนี่เป็นที่มาของเพลงเพื่อชีวิตส่วนหนึ่งและเพลงเพื่อมวลชนนี้ก็คือ เพลงชีวิตเพลงหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดีพอสมควรล่ะ



เพื่อมวลชน
จิ้น กรรมาชน

ถ้าหากฉัน เกิดเป็นนก ที่โผบิน
ติดปีกบิน ไปให้ใกล ใกลแสนใกล


ฉันจะขอ เป็นนก พิราบขาว
เพื่อชี้นำ ชาวประชา สู่เสรี


ถ้าหากฉัน เกิดเป็นเมฆ บนนภา
จะนำพา ความร่มเย็น สู่ท้องนา


หากฉัน เกิดเป็น เม็ดทราย
จะถมกาย เป็นทาง เพื่อมวลชน


ชีวา ยอมพลีให้ มวลชน ที่ทุกข์ทน
ขอพลีตน ไม่ว่า จะตายกี่ครั้ง